“อยากลืม..กลับจำ”

เป็นเพลงฮิตในอดีตที่มีสาระที่ดีมากสำหรับคนที่เคยมีความหลังหลายๆ เรื่อง ที่มีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีผ่านเข้ามาในชีวิต และก็ผ่านไป บางเรื่องที่ดีเราก็อยากจะจดจำเอาไว้ เพื่อเป็นความรู้สึกดีๆ ตลอดไป แต่เรากลับลืมไปง่ายๆ แต่ในทำนองเดียวกันเรื่องที่เลวร้ายทำให้เราเจ็บปวดนั้นเราอยากจะลืมมันเสีย ไม่อยากจะให้มันฝังใจเราอีกต่อไป แต่เรากลับจำไม่เคยลืม เพราะทำใจยากจนทำให้ลืมยากไปด้วย บางทีเรากำลังจะตัดใจลืมสิ่งไม่ดีนั้นอยู่แล้ว แต่พอไปเจอสิ่งที่เคยเกิดกับเราอีกก็เลยทำให้เรากลับไปคิดถึงมันอดีตที่ผ่านมาอีก แม้จะผ่านไปนานอย่างไรมันก็ยังกลับมาหลอนเราอีก เมื่อเป็นดังนี้ก็เลยทำให้เราอยู่ในสภาพของคน “อยากลืมกลับจำ” ไป

ส่วนบางคนพบเจอประสบการณ์ชีวิตที่ดีๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตก็อยากจะเก็บเอาไว้ในความทรงจำ แต่สุดท้ายก็กลับลืมไปเสียสนิท ขนาดบางคนนั้นเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นกับเขาเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้เขาประสบความสุขความสำเร็จในชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะลืม แต่เขาก็ยังลืมได้ ทั้งๆ ที่อยากจะจดจำเอาไว้ก็ตาม แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอย่างนี้ทุกคนนะครับ

สำหรับผมเองก็เหมือนกันในบางครั้งอยากจำกลับลืม ซึ่งก็หาสาเหตุของการลืมไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร เช่นเรื่องดีๆ ที่มีคนเคยทำดีต่อเราจนเกิดความประทับใจไม่นานเราก็ยังลืมได้ แต่เรื่องอะไรที่ไม่ดีอยากจะลืมแต่มันกลับจำอย่างติดหูติดตา ผมก็เคยคิดเหมือนกันว่าที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมันเป็นเรื่องอิทธิพลระหว่างสิ่งดีและสิ่งที่ไม่ดี ว่าจะสิ่งไหนจะมีอิทธิพลต่อจิตใจของเรามากกว่ากันแล้วสิ่งนั้นๆ ก็จะ “ฝังใจ” เรามากและทานทนเป็นพิเศษ แล้วก็ทำให้เราจำได้นานและลืมยาก ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้ให้ข้อคิดที่น่าสนใจว่า อะไรก็ตามถ้ามันเกิดขึ้นกับเราบ่อยๆ มันจะย้ำเตือนความจำของเราจนเกิดความ “ฝังใจ” ไปตลอดแล้วมันจะลบความทรงจำที่ดีๆ ของเราไปด้วย ด้วยเหตุนี้ความไม่ดีงามทั้งหลายจึงเป็นสิ่งที่ลืมได้ยาก ทั้งๆ ที่อยากจะลืมมันเสียก็ตาม

ถ้าเราดูทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ ก็จะได้คำตอบที่ชัดเจนว่าสาเหตุเป็นเพราะจิตใจของมนุษย์ถูกครอบงำจากเชื้อของความบาป ที่ทำให้เกิดความเกลียดชังภายในจิตใจมนุษย์ สิ่งที่ไม่ดีก็ย่อมจะมีอิทธิพลมากกว่าสิ่งดี เพราะทั้งสองสิ่งนี้ได้ถูกแยกฝ่ายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้เองที่เป็นเหตุให้จิตใจและชีวิตเราจดจำสิ่งที่ไม่ดีหรือเลวร้ายทั้งหลาย มากกว่าที่จะจดจำในสิ่งที่ดีๆ เพราะอิทธิพลของความบาปได้ครอบงำเราอยู่ และทำให้เราทำไปตามอำนาจของมันโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว

ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ได้บอกเราว่า “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1 ยอห์น 1:9) “และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท” (ยอห์น 8:32)

โดย: อาจารย์อำนวย เรืองชาญ
นักจัดรายการวิทยุ “เพื่อคุณกำลังใจ”
องค์การก้าวไปสู่ความสว่าง