“คนดี คนเก่ง”

ถ้าจะต้องเลือกใครสักคนมาเป็นเพื่อน คุณจะเลือกใครดีระหว่างคนดีกับคนเก่ง คำตอบก็อาจจะเป็นต้องเลือกคนดี แล้วถ้าจะถามอีกว่าคุณจะเลือกใครมาช่วยงาน ระหว่างคนดีกับคนเก่ง คำตอบก็อาจจะเปลี่ยนไปว่า ต้องการทั้งคนดีและคนเก่ง แต่ถ้าเลือกทั้งคนดีและคนเก่งไม่ได้ เลือกได้เพียงคนเดียว คุณก็คงจะเลือกคนดีไว้ก่อน เพราะคนดีสอนให้เก่งงานนั้นง่ายกว่าสอนคนเก่งให้เป็นคนดี เพราะคนเก่งมักจะทะนงตัวไม่ยอมฟังใครง่ายๆ

คนดีเป็นที่ต้องการของทุกวงการ แม้แต่คนที่ไม่ดียังต้องการคนดี ถ้าจะถามว่าจะเลือกใครดี คนดีคือคนที่ไม่เคยทำความผิดหรือไม่ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็บอกได้เลยว่าโลกนี้คงไม่มีคนดีสักคนเดียว เพราะเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะไม่ทำความผิดเลยทั้งกายวาจาและใจ ดังนั้น คนดีที่ว่าก็คงจะเป็นคนที่เคยทำผิดแล้วรู้สึกสำนึกผิด เสียใจในความผิดแล้วแก้ไขในสิ่งที่ผิด ตั้งใจเริ่มต้นใหม่อย่างจริงจัง คนดีจึงเป็นคนที่เห็นคุณค่าและความสำคัญของคุณธรรม จริยธรรม และมุ่งมั่นปฏิบัติตามอย่างไม่มีวันอ่อนระอา นี่คือคนดีที่เราทุกคนต้องการ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เพราะโลกแห่งความเป็นจริงยึดผลประโยชน์แห่งตนมากกว่า “ความดี” เขายกย่องความดีแต่เขาเลือกคนที่ให้ผลประโยชน์แก่เขามากกว่าจะเลือกคนดี สังคมจึงกลายเป็นสังคมที่ยกย่องคนดี แต่เลือกคนที่ให้ผลประโยชน์แก่ตนแทนที่จะเลือกคนดีมาทำงาน ผลประโยชน์จึงอยู่เหนือคุณงามความดี เราเรียกร้องคุณธรรม จริยธรรมเพราะเห็นในคุณค่าของสิ่งเหล่านี้ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกคบคน เรากลับให้ความสำคัญกับคนไม่ดีแต่ให้ผลประโยชน์

สรุปแล้วจงคบคนดีที่เก่ง แต่คบแบบห่างๆ กับคนเก่งแต่ไม่ดี ถ้าเลือกทั้งเก่งและดีในเวลาเดียวกันไม่ได้ ก็ต้องเลือกคนดีแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเก่ง แม้จะไม่สามารถให้ผลประโยชน์ แต่คนดีก็จะเป็นประโยชน์ในทุกด้านที่จะสร้างความสุขความพอใจแก่เราได้โดยสนิทใจ

ดังพระจนะได้ยืนยันความจริงข้อนี้ ดังนี้ “คนดีก็ย่อมเอาของดีออกจากคลังดีแห่งใจของตน และคนชั่วก็ย่อมเอาของชั่วจากคลังชั่วแห่งใจของตน ด้วยใจเต็มด้วยอะไรปากก็พูดออกมาอย่างนั้น” (ลูกา 6:45)

โดย: อาจารย์อำนวย เรืองชาญ
นักจัดรายการวิทยุ “เพื่อคุณกำลังใจ” และ “บ้านนี้มีรัก”
องค์การก้าวไปสู่ความสว่าง